Browse By

Category Archives: ความรู้ทั่วไป

Cocoa benefits.

It is believed that Cocoa benefits. It can be useful in many ways. Because cocoa contains calories, fat, protein, carbohydrates, dietary fiber and various minerals. That are necessary for the growth of the body. Such as potassium, phosphorus, copper, iron, zinc, manganese, etc. As well as other

เคล็ดลับการทำงานอย่างมืออาชีพ

เคล็ดลับการทำงานอย่างมืออาชีพ 1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าท่านอยากให้ผู้อื่นมองว่าท่านเป็นคนอย่างไร และท่านเองอยากพัฒนาเป็นคนที่มีลักษณะอย่างไร เพื่อท่านจะเติบโตอย่างไร  2. กระตือรือร้น การกระตือรือร้นในงานที่เป็นกิจวัตร กระตือรือร้นในการทำสิ่งใหม่ๆ กระตือรือร้นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย มองว่าทุกงานที่ทำมีคุณค่า มีประโยชน์ทั้งต่อตนเอง เมื่อท่านกระตือรือร้นก็จะช่วยให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวท่านกระตือรือร้นตามค่ะ 3. กล้าที่จะคิด ทำสิ่งใหม่ๆ (มี Growth Mindset)เมื่อท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนและกระตือรือร้น ท่านก็จะอยากที่จะทำสิ่งใหม่ๆ และกล้าที่จะเรียนรู้ไปทำไปค่ะ ท่านจะคิดถึงแนวทางใหม่ๆ ในการทำงานเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเสนอไอเดียใหม่ๆ ให้กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน 4. มีความรับผิดชอบ การที่ท่านเป็นคนมีความรับผิดชอบ สามารถส่งมอบงานได้ตามที่ได้รับมอบหมาย หรือเหนือกว่าที่มอบหมาย และเสร็จในกรอบเวลาที่กำหนด จะช่วยให้หัวหน้าและทีมงานรู้สึกปลอดภัย สบายใจที่จะทำงานด้วย และมีความเชื่อถือไว้ใจท่าน    5. รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้และพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกวันนี้มีความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ท่านสามารถเรียนรู้ได้ทั้งความรู้ที่เป็นเชิงเทคนิคที่เกี่ยวกับงาน และเรียนรู้ทักษะต่างๆ จากผู้อื่น 6. มีทัศนคติที่ดีในแง่ของการเติบโต องค์กรมักเลือกคนที่มีทัศนคติที่ดีต่องาน

เคล็ดลับการบรรลุเป้าหมาย

เคล็ดลับการบรรลุเป้าหมาย

เคล็ดลับการบรรลุเป้าหมาย อย่าสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง หากคุณรู้สึกว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีความรู้และทักษะดีอยู่แล้วแต่ก็ยังทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ แสดงว่าคุณมีปัญหาเรื่องกรอบความคิดแล้วล่ะครับ ลองเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเพียงเล็กน้อยดูสิ มันอาจจะเกิดประโยชน์ต่อชีวิตของคุณอย่างมหาศาลเลยก็ได้ เคยไหมครับเวลาที่คุณ “อยากจะลองท้าทาย” แต่ก็ต้องตัดใจเพราะว่า “ในโลกแห่งความจริงคงเป็นไปไม่ได้” หรือ “เป็นการฝันไกลเกินตัว” หรือคุณเคยตัดใจเพราะถูกคนอื่น “ตัดสิน” ตัวคุณว่า “ทำไม่ได้หรอก” หรือ “เป็นไปไม่ได้หรอก” ไหมครับ คนรอบข้างจะ “ตัดสิน” ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของคุณในหลาย ๆ รูปแบบ เริ่มตั้งแต่การแสดงความคิดเห็นในแง่ลบอย่างการดูถูก ไปจนถึงการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างแท้จริง หรือการให้ดำแนะนำอย่างจริงใจ เพื่อให้คุณมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ว่าผมจะไม่ใส่ใจ “คำตัดสินจากปากคนอื่น”เหล่านี้ คุณครูที่สอนผมตอนอยู่ชั้นมัธยมปลายเคยถามผมว่า “เธอรู้ไหมว่ากุญแจสำคัญที่จะพาเธอเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่เธอใฝ่ฝันคืออะไร” จากนั้นท่านก็พูดว่า “ครูจะบอกให้นะ มันง่ายมาก แค่เธอคิดว่า ‘อยากจะเข้า’ ก็พอ ครูไม่รู้หรอกว่าถ้าเธอคิดว่าอยากจะเข้าแล้วจะเข้าได้จริง ๆหรือเปล่า แต่ถ้าเธอไม่เคยคิดว่าอยากจะเข้าตั้งแต่แรก เธอจะไม่มีวันได้เรียนที่นั่นอย่างแน่นอน” ถ้าคุณไม่

ความคิดเห็น (Commemts)

ความคิดเห็น (Commemts)

ความคิดเห็น (Commemts) แยกคำบ่นออกจากความคิดเห็นคุณรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง “คำบ่น” กับ “ความคิดเห็น” หรือเปล่าครับพจนานุกรมได้ให้คำนิยามไว้ดังนี้ คำบ่น : การคร่ำครวญถึงเรื่องที่พูดไปก็เปล่าประโยชน์ความคิดเห็น : การยืนกรานความคิดหรือสิ่งที่อยู่ในใจที่มีต่อปัญหาหนึ่งผมขออธิบายง่าย ๆ ว่าคำบ่นจะ “ไม่นำไปสู่การกระทำในขั้นต่อไป” ในทางกลับกันความคิดเห็นจะ “นำไปสู่การกระทำในขั้นต่อไป” เช่น การปรับปรุงหรือการเสนอข้อมูลบางกรณีที่เราไม่พอใจหรือร้องเรียนอะไรบางอย่าง ถ้าเราชี้แนะวิธีแก้ไขไปด้วย “คำบ่น” ก็จะกลายเป็น “ความคิดเห็น” ถ้าคุณแสดงความคิดเห็นในทีมว่า “ควรทำอย่างไรต่อไป” แทนที่จะเอาแต่พร่ำบ่น ทีมก็จะเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าอย่างนั้นคำบ่นก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยน่ะสิจริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่าในคำบ่นมีความในใจของเพื่อนร่วมทีมแฝงอยู่ ดังนั้น คำบ่นที่คุณได้ยินจึงเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการประเมินความเสี่ยงหรือทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าทีม ขอให้คิดเสียว่าการฟังลูกทีมบ่นเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง หลังจากฟังลูกทีมบ่นจนจบแล้ว หัวหน้าทีมต้องปรึกษากับลูกทีมว่า “ควรทำอย่างไรต่อไป” เพื่อเปลี่ยนคำบ่นให้เป็นความคิดเห็น ปกติแล้วลูกทีมจะคิดว่าการบ่นหัวหน้าทีมเป็นเรื่องที่ควรระวัง แต่ผมคิดว่าการบ่นหัวหน้าทีมให้คนที่ไว้ใจได้ฟังบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมคนต่อไปควรรู้ว่าลูกทีมไม่พอใจอะไรในตัวหัวหน้าทีมคนปัจจุบัน นี่คือคุณลักษณะอย่างหนึ่งของการทำงานเป็นทีมที่แข็งแกร่ง สวมวิญญาณกิ้งก่าเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นข้อสรุปที่ผมได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานร่วมกับบริษัทหลายแห่ง

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม3

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม3

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม3 สอนงานคนอื่นเพื่อพัฒนาตัวคุณเอง ปีเตอร์ ดรักเกอร์ บิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่เคยกล่าวไว้ว่า”การสอนงานคนอื่นคือการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เวลาสอนงานคนอื่น ถึงแม้จะเป็นงานที่คุณทำอยู่ทุกวัน คุณก็ต้องอธิบายแต่ละขั้นตอนในการทำงานนั้น ๆ ให้เขาฟัง ในขณะที่อธิบาย คุณต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์ ตามหลักเหตุผลแล้วนำมาประกอบกันเพื่อให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายขึ้น กระบวนการวิเคราะห์แบบนี้จะช่วยให้ตัวคุณเอง เข้าใจขั้นตอนในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น บางครั้งยังอาจทำให้มองเห็นส่วนที่ยังบกพร่องแล้วลงมือแก้ไขได้ทัน ตัวผมเองก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ สมัยที่ผมเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย ผมได้ให้คำแนะนำรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ พอเรียนจบก็ได้ทำงานในตำแหน่งที่ฝึกอบรม ผมรู้สึกว่าประสบการณ์เหล่านั้นเป็นเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับตัวผมเอง เพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ส่งผลต่อการแข่งขันกีพาและการทำงานของผมในเวลาต่อมายิ่งไปกว่านั้น การสอนงานคนอื่นหมายถึงการพัฒนาความสามารถของคนรอบตัวคุณ ทีมจึงทำผลงานได้ดีขึ้น เมื่อผลงานของทีมอยู่ในระดับสูง คุณซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในทีมก็จะได้ทำงานในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย กล่าวคือ การสอนงานคนอื่นดูเหมือนเป็นการทำเพื่อเพื่อนร่วมทีม แต่จริง ๆ แล้วมันจะส่งผลดีย้อนกลับมาหาตัวคุณเองมีคำกล่าวว่า “ความเห็นอกเห็นใจไม่ได้มีไว้เพื่อคนอื่น” การสอนงานคนอื่นก็เช่นเดียวกัน มันอาจดูเหมือนเป็นการทำเพื่อคนอื่น แต่ที่จริงแล้วเป็นการทำเพื่อตัวคุณเองต่างหาก การคิดว่า “ไอ้หมอนี่ใช้ไม่ได้”เป็นการประกาศความพ่ายแพ้ เราทุกคนต่างก็เคยประเมินด่าคนอื่นโดยไม่สนว่าเราจะมีสิทธิ ประเมินผู้อื่นหรือไม่ ไม่ว่าใครก็คงจะเคยวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่าง “คนนั้นทำงานได้ดี” หรือ “คนนั้นทำงานเก่ง” กันมาบ้าง ในบรรดาคำวิพากษ์วิจารณ์

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม 2

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม 2

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม 2 กล้าที่จะมอบหมายงาน ตอนที่ลูกผมยังเล็ก ผมได้วางแผนวิธีรับมือเวลาที่ลูกหกลัมไว้ก่อนแล้วอันดับแรกคือผมจะดูท่าล้ม จากนั้นดูความปลอดภัยโดยรวม ถ้าดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร ผมก็จะดูอยู่เฉย ๆ ผมจะไม่วิ่งเข้าไปอุ้มลูกโดยเด็ดขาด แน่นอนว่าผมก็เหมือนคุณพ่อหลายคนที่วินาทีที่เห็นลูกหกลัม แขนขาของผมจะขยับไปหาลูกโดยอัตโนมัติ แต่ผมก็พยายามทำใจแข็งไม่เข้าไปหาลูก พอทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่เจ็บมากจริง ๆ ลูกก็จะไม่ร้องไห้หรือร้องขอความช่วยเหลือ แต่จะลุกขึ้นมาเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเล่นต่อไป (แล้วก็หกลัมอีก) หัวหน้าทีมก็เช่นเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้องค์กรหยุดชะงักมีมากมาย ถ้าหัวหน้าทีมเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับลูกทีมมากเกินไป ทีมจะทำผลงานได้ไม่ดี องค์กรหยุดชะงักมีสาเหตุมาจากหัวหน้าทีมและลูกทีม ถ้าหัวหน้าทีมเข้าไปยุ่งวุ่นวายทุกเรื่อง ลูกทีมจะไม่มีโอกาสเติบโต มิหนำซ้ำพวกเขาจะติดนิสัยขอความช่วยเหลือไปเสียทุกเรื่อง นอกจากนี้ ข้อจำกัดเรื่องเวลาและขีดความสามารถที่หัวหน้าทีมเป็นผู้กำหนดจะทำให้ลูกทีมดำเนินงานไม่คล่องตัว สำหรับอดีตลูกทีมคนเก่งที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมครั้งแรกต้องระวังหลุมพรางของการเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการเอาไว้ให้ดี ไม่แปลกที่หัวหน้าทีมจะเกิดความรู้สึกว่า “ทนดูไม่ไหวแล้ว” หรือ “ทำเองจะเร็วกว่า” แต่ถ้ามอบหมายงานให้ลูกทีมไปแล้วก็ต้องไว้ใจให้พวกเขาทำงานจนเสร็จ เป็นกังวลโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยไปซะทุกเรื่องเราทุกคนเติบโดขึ้นมาได้ก็เพราะมีคนที่เฝ้าดูเราอย่าง คว้าลูกวอลเลย์บอลที่เอื้อมถึงเวลาที่เราทำงานกันเป็นทีมมักจะเหลืองานที่ไม่มีใครแตะเพราะแต่ละคนคิดว่า “นั่นไม่ใช่งานของฉัน” เรื่องนี้เปรียบได้กับ “จุดเกรงใจ” ในกีฬาวอลเลย์บอล ซึ่งหมายถึงลูกวอลเลย์บอลที่ข้ามตาข่ายมาแล้วดกพื้นเนื่องจากผู้เล่นเกี่ยงกันรับ เคล็ดลับการป้องกันการเกิดจุดเกรงใจแบ่งเป็น 2

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่”ต้องได้รับการกระตุ้น”เมื่อทำงานในองค์กร คุณย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำงานเป็นทีมได้เลย แล้วคุณรู้ไหมว่าเคล็ดลับในการทำงานเป็นทีมคืออะไร ผมขอแนะนำเคล็ดลับที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าทีมหรือลูกทีมก็ตามความหมายของการทำงานเป็นทีมอย่างที่เรารู้กันคือ การแบ่งงานที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ให้กับสมาชิกในทีมเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่ใหญ่ขึ้น ทว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก ผลงานที่ออกมาจะได้รับอิทธิพลจากแรงจูงใจของสมาชิกในทีม ดังนั้น สมาชิกทุกคนจะต้องใส่ใจและคอยกระตุ้นแรงจูงใจของสมาชิกคนอื่น ๆสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเวลาขอให้ใครสักคนทำอะไรให้คือการใช้น้ำเสียงแบบออกคำสั่ง เพราะคนที่ถูกสั่งจะรู้สึกไม่ดี เมื่อมี “ผู้ออกคำสั่ง” ก็จะต้องมี “ผู้ทำตามคำสั่ง”ในกรณีที่ร้ายแรงการตกอยู่ในฐานะเป็น “ผู้ทำตามคำสั่ง”อาจก่อให้เกิด “การต่อต้าน” ได้ เวลาขอให้ใครสักคนทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับลูกน้อง ลูกค้ากับซัพพลายเออร์ หรือสมาชิกในทีมเดียวกัน ถ้าคนคนนั้นรู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่า “ถูกกระตุ้น” ผลงานของเขาจะออกมาไม่ดี ผมได้เป็นหัวหน้าทีมตั้งแต่อายุยังน้อย และมีลูกทีมเป็นรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ในการทำงานหลายสิบปีอยู่หลายคนเวลาไหว้วานคนเหล่านั้น ผมจะพูดว่า “รบกวนด้วยนะครับ” ด้วยท่าทางอ่อนน้อม แม้อีกฝ่ายจะเป็นพนักงานใหม่ผมก็ปฏิบัติกับพวกเขาแบบเดียวกัน พนักงานมืออาชีพทำผลงานได้ดีที่สุดเวลาได้รับการ “ขอร้อง” หรือ “คาดหวัง” ดังนั้น คุณควรปฏิบัติต่อคนหนุ่มสาวที่จะก้าวขึ้นมาเป็นพนักงานมืออาชีพโดยใช้ความ”คาดหวัง” เช่นเดียวกัน รู้จักสิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญแต่ละคนมีแรงจูงใจในการทำงานหรือสิ่งที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น บางคนให้ความสำคัญกับคะแนนประเมินผลการปฏิบัติงานจากหัวหน้าหรือโบนัสปลายปี

เคล็ดลับการบริหารเวลา(ต่อ)

เคล็ดลับการบริหารเวลา(ต่อ)

เคล็ดลับการบริหารเวลา(ต่อ) ทำทันที เมื่อการประชุมจบลง นอกจากการทำรายงานการประชุมแล้ว ยังมีงานอื่น ๆ ตามมาอีก ทว่าธรรมชาติของมนุษย์มักจะดองงานไว้โดยคิดว่า “ขอพักก่อน” แล้วบอกกับตัวเองว่า “วันนี้ขอกลับบ้านไปดื่มเบียร์ก่อนแล้วกัน” เหมือนกับเวลาที่มีลูกค้าร้องขอหรือสอบถามมาทางอีเมล์หรือโทรศัพท์ พนักงานก็แค่รับเรื่องไว้และ “ผลัดวันประกันพรุ่ง” แต่การผัดวันประกันพรุ่งเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่ที่คุณอาจไม่ทันคิด ผมขอยกตัวอย่างการประชุมนะครับ ถ้าคุณส่งรายงานการประชุมทางอีเมล์ทันทีที่การประชุมเสร็จสิ้นพร้อมกับระบุว่า “ผมจดบันทึกในระหว่างการประชุม ลองอ่านดูนะครับ” คุณจะเสียเวลาแต่ไม่กี่นาที ผู้เข้าประชุมสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที หากเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนก็สามารถแก้ไขได้ทันเวลา เช่น มีคนทักท้วงว่า “เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้นต้องเป็นแบบนี้” และช่วยให้คุณประหยัดทั้งแรงและเวลาในการดำเนินงานได้ เช่น มีคนให้คำชี้แนะว่า “อุ๊ย เรื่องนั้นไม่ต้องทำก็ได้นะ” หากคุณดองงานข้ามวันอาจถึงขั้นต้องหาเวลามาชี้แจงข้อมูลกันใหม่ ซึ่งถ้าคุณจัดทำรายงานการประชุมทันทีก็คงเสร็จภายใน 1-2 นาที แต่กลายเป็นว่าต้องมาเสียเวลามากกว่านั้นหลายสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ถ้างานนั้นเป็นงานที่คุณ “ไม่จำเป็นต้องทำ” ละก็ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ขำไม่ออก”การทำทันที” นอกจากจะเป็นการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งซึ่งเพื่อนของผม เล่าให้ฟังว่า “ฉันส่งอีเมล์สอบถามไป

เคล็ดลับการบริหารเวลา

เคล็ดลับการบริหารเวลา

เคล็ดลับการบริหารเวลา ไม่ทำให้คนอื่นเสียเวลา เมื่อคุณเริ่มทำงานเป็น คนอื่นจะป้อนงานให้คุณอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคุณเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง คุณก็จะยิ่งรับงานที่คนอื่นป้อนให้ โดยไม่ปฏิเสธและพยายามทำงานเหล่านั้นให้สำเร็จ แต่ถ้าคุณรับงานมากเกินกำลังของตัวเอง นอกจากคุณจะทำงานไม่เสร็จตามกำหนดแล้วงานยังออกมาไม่มีคุณภาพอีกด้วย ส่งผลให้ตัวคุณเองและคนอื่นเสียเวลาเนื่องจากต้องทำงานใหม่หรือเป็นตัวถ่วงของคนอื่น โดยเฉพาะการทำให้คนอื่นเสียเวลาเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คนรุ่นเก่าเคยทำงานเพื่อสั่งสมประสบการณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ “คนหนุ่มสาวฝีมือดี” กำลังทำให้แบบแผนการปฏิบัตินั้นผิดเพี้ยนไป หากคุณกดดันตัวเองมากเกินไป เช่น “น่าจะทำได้”หรือ “ต้องทำให้ได้” คุณจะทำงานอย่างรีบเร่งและก่อให้เกิดผลเสีย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณทำงานจนเกินขีดจำกัดของตัวเอง คุณอาจต้องเจ็บปวดทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด คุณควรกระจายงานโดยด่วนเมื่อรู้สึกว่ากำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน คุณต้องไตร่ตรอง “หน้าที่” ของตัวเองอย่างมีสติ (เช่น การจัดทำเอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง 00 เป็นหน้าที่หลักของคุณหรือไม่) คุณไม่ควรรับงานที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของตัวเองถ้าคิดว่ามันเกินกำลัง คุณต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดก่อนแล้วค่อยรับงานอื่นต่อ แต่หากไม่มีเวลาเหลือก็ให้ปฏิเสธงานนั้นไปเลยในกรณีที่งานนั้นเป็นหน้าที่ของคุณแต่ว่าคุณมีงานลันมือแล้ว ให้คุณทำ “งานใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน” แค่ชิ้นเดียว การทำงานใหม่ ๆ ให้สำเร็จนั้นต้องอาศัยประสบการณ์ ถ้าคุณรับ “งานใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน” ไว้มาก ๆ

เคล็ดลับการสื่อสาร

เคล็ดลับการสื่อสาร(ต่อ)

เคล็ดลับการสื่อสาร(ต่อ) เดินผ่ากลางออฟฟิศ ยิ่งคุณมีโอกาสได้สื่อสารมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเกิดไอเดียใหม่ ๆ มากเท่านั้น และงานของคุณก็จะคืบหน้าตามไปด้วย ผมขอแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะเพิ่มโอกาสในการสื่อสารให้คุณได้โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนมากมายเลยครับนั่นคือการ “เดินผ่ากลางออฟฟิศ” คุณลองนึกถึงเส้นทางตั้งแต่โถงหน้าลิฟต์ไปจนถึงโต๊ะทำงานของตัวเองดูสิครับ นับตั้งแต่ที่คุณเดินเข้าออฟฟิศ แขวนเสื้อโค้ทหรือเสื้อสูทไว้ในล็อกเกอร์แล้วเดินเลียบผนังไปที่โต๊ะตัวเอง ระหว่างทางมีคนสบตากับคุณกี่คน อย่างมากก็แค่ 3 หรือ 4 คนที่นั่งอยู่ใกล้โต๊ะคุณสินะครับ ถ้าอย่างนั้นให้ลองเปลี่ยนเส้นทางสักเล็กน้อย คราวนี้ให้คุณเดินผ่ากลางออฟฟิศหรือเดินผ่านทางเดินระหว่างโต๊ะทำงานของแต่ละแผนกดูสิครับ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้สบตากับคนอื่นเพิ่มขึ้นเป็น 10 หรือ 20 คน นอกจากจะได้ทักทายกับคนที่สบตาคุณว่า “อรุณสวัสดิ์”แล้ว คุณยังสร้างโอกาสในการพูดคุยกันก่อนเริ่มงานได้ด้วย เช่น “เรื่องที่ขอให้ช่วยเมื่อวันก่อนไปถึงไหนแล้ว” หรือ”เรื่องที่ปรึกษาตอนดื่มกันเมื่อคืนก่อนจะทำกันเลยไหม” แค่คุณเหลือบมองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มีข้อมูลแบบนี้ด้วยเหรอ” คุณก็ได้สร้างโอกาสรวบรวมข้อมูลแล้ว หรือแค่คุณมองหน้าเพื่อนร่วมงานแล้วบอกว่า“เรื่องอีเมล์ที่เขาส่งมาถามครบกำหนดวันนี้แล้วสินะ” ก็เป็นการสร้างโอกาสตรวจสอบความถูกต้องได้เช่นกัน การลองปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินของคุณทั้งตอนที่เพิ่งมาถึงที่ทำงานและเวลาเดินไปมาในออฟฟิศก็ตามจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ไม่พูดแทรกคนอื่น“การสนทนา” เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีความสำคัญมากโดยมีกติกาสำคัญที่เราต้องปฏิบัติตามขณะสนทนาคือ “ห้ามพูดแทรกเวลาที่คนอื่นพูดอยู่เด็ดขาด”เรื่องนี้มีเหตุผลใหญ่ ๆ