คุณสมบัติสารสกัดจากธรรมชาติ (Natural Extract) พืชพันธุ์ธรรมชาติที่นำมาสกัดเป็นสารออกฤทธิ์ แล้วนำไปเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อความงามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นครีม โลชั่นบำรุงผิว เซรั่ม ครีมกันแดด ฯลฯ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น
2 ประเภทคือ Oil และ Extract
คำว่า Extract ก็คือ สารสกัดแบบน้ำ เช่น Avocado Extract หมายถึง สารสกัดจากผลอโวคาโด ส่วนคำว่า Oil ก็คือ น้ำมัน เช่น Avocado O หมายถึง น้ำมันสกัดจากผลอโวคาโด แน่นอนอยู่แล้วว่า ทั้งสองประเภทนี้กรรมวิธีในการสกัดย่อมแตกต่างกัน สำหรับ Extract จะใช้วิธีสกัดด้วยการใช้น้ำ ส่วน Oil ก็จะใช้น้ำมันเป็นด้วสกัด
อย่างที่รู้กันว่า คุณสมบัติของวัตถุดิบจากธรรมชาติดีกว่าวัตถุดิบที่มาจากสารเคมีอยู่แล้ว แต่ทว่าคุณสมบัติของพืชพันธุ์ธรรมชาติแต่ละชนิดก็ย่อมแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของมัน ซึ่งสิ่งที่ เราควรรู้คือ พืชพันธุ์ธรรมชาติแต่ละชนิดมีข้อดีสำหรับผิวพรรณอย่างไร เพื่อที่เราจะได้เลือกใช้ได้เหมาะกับความต้องการ หรือเหมาะสมกับสภาพผิวของเรา เพราะอย่าลืมว่า หากใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจส่งผลเสียได้
ตัวอย่างเช่น คนที่มีสภาพผิวมัน ปกติผิวก็จะมีน้ำมันตามธรรมชาติมากอยู่แล้ว หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีน้ำมันมาก ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำมันให้กับผิวมากขึ้นไปอีก ทำให้ผิวต้องมีการขยายตัวเพื่อขับไล่น้ำมันส่วนเกินออกไป ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น อีกทั้งเมื่อผิวมีน้ำมั่นมากก็อาจทำให้เกิดการอุดตันตามรูขุมขน และที่แย่ไปกว่านั้นคือ น้ำมันจะเป็นตัวดูดชับรังสียูวี จึงทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำได้ง่ายยิ่งขึ้น
โจโจบาเป็นน้ำมันบำรุงผิวที่เห็นกันบ่อยมาก ๆ เพราะในกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อความงามนิยมใช้น้ำมันโจโจบาเป็นส่วนผสมมากที่สุด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ในโจโจบามีสารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเหมือนกับคอลลาเจนที่อยู่บนผิวหนัง แถมยังช่วยคงความชุ่มขึ้นให้กับผิว และช่วยลบเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิว และยังช่วยขจัดสิ่งสกปรก และสิวเสี้ยนที่อยู่ตามรูชุมขนให้หลุดออกไปด้วย ฉะนั้น น้ำมันโจโจบาจึงเหมาะกับทุกสภาพผิว ทั้งผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ผิวมัน ผิวผสม รวมถึงผิวอักเสบ หรือผิวเป็นสิว
น้ำมันมะกอก (Olive Oil)
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันประเภทที่มีกรดไขมันชั้นดี อีกทั้งมีวิตามิน อี และวิตามิน เอสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้าอนุมูลอิสระ เพราะคุณสมบัติในเรื่องการบำรุงผิว ฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ป้องกันรังสียูวี รักษาสิว ช่วยทำให้หัวสิวยุบตัว และยับยั้ง
การอักเสบของสิว จึงทำให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงามส่วนใหญ่เติมน้ำมันมะกอกลงไปในผลิตภัณฑ์ ดังนั้นน้ำมันมะกอกจึงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังมีโครงสร้างใกล้เคียงกับน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ จึงสามารถใช้กับผิวได้อย่างสบาย ๆ
น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil)
เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากผลอัลมอนด์ ที่มากไปด้วยวิตามิน เอ และวิตามิน อี ถือว่าเป็นสองพลังประสิทธิภาพสูงในการบำเรอผิว ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับคอลลาเจนคือ ช่วยบำรุง และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยกระชับผิว ทำให้ผิวมีความแน่น เต่งตึง และเนียนนุ่มขึ้น หรือจะบอกว่าเป็นสารต้านความแก่ก็ได้ เพราะเหตุนี้น้ำมันอัลมอนด์จึงเป็นที่นิยมนำไปเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่าง ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีน้ำมันอัลมอนด์เป็นส่วนผสมจะเหมาะกับทุกสภาพผิว และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้ง
น้ำมันเมล็ดเสาวรส (Passion Fruit Oil)
เมื่อพูดถึงผลเสาวรส หลายคนคงทำหน้าเบ้ เพราะนึกถึงรสชาติอันแสนเปรี้ยวจี๊ดสะกิดใจของน้ำ และเนื้อเสาวรส แต่ก็มีหลายคนชื่นชอบรสเปรี้ยวแบบนี้ เวลาที่เรากินเสาวรสแบบสด ๆ เรามักจะกลืนน้ำเนื้อและเมล็ดลงคอไปอย่างง่ายดาย ไม่น่าเชื่อว่า เมล็ดของผลเสาวรสที่เรากลืนลงคอไปนั้น ถ้านำมาสกัดเป็นน้ำมัน จะได้วิตามิน เอ และวิตามิน ชี ในระดับสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยดูแล และปกป้องสภาพผิวหนังได้เป็นอย่างดีคือ จะช่วยบำรุงผิว ช่วยคงความชุ่มชื้น ช่วยลบเลือนจุดด่างดำ และช่วยลดการอักเสบของเม็ดสิว และด้วยผลลัพธ์ที่ดีนี้เอง จึงทำให้ในวงการผลิตภัณฑ์ความงาม นิยมนำมาเป็นส่วนผสมสำคัญในครีม หรือโลชั่นกันแดดเพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว ไม่ให้ผิวหมองคล้ำ หรือเกิดจุดด่างดำ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันจากเมล็ดเสาวรสเป็นส่วนผสม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้ง แต่ก็สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว
น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil)
น้ำมันรำข้าวเป็นสารประกอบตัวหนึ่งที่เราเห็นกันบ่อยๆ บนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ด้วยเพราะในน้ำมันรำข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน อี บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องผิวจากแสงแดดทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่จำเป็นทั้งชนิดดี และชนิดปานกลาง คือกรดโอเลอิค (Oleic) และกรดไลโนเลอิค (Linolenic) รวมทั้งเบต้าแคโรทีน และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B1-B6) ซึ่งสารอาหารที่ว่านี้ จะช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันรำข้าวเป็นส่วนผสม หากใช้ทาที่ผิวหนังภายนอก จะกระจายตัวได้ดีบนผิวหนัง น้ำมันรำข้าวถือว่าเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผิว จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองใด ๆ แน่นอนว่าสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งเป็นอย่างมาก
จมูกข้าวสาลี (Wheat Germ)
ในจมูกข้าวสาลีมีอาหารผิวชั้นเลิศ นั่นก็คือ วิตามิน อี บริสุทธิ์จากธรรมชาติ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะคอยช่วยฟื้นฟูและต่อต้านการทำลายเชลล์ผิวที่เกิดจากอนุมูลอิสระ รวมทั้งยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามิน บีคอมเพล็กซ์ (B1-B6) และกรดไขมันที่จำเป็นซึ่งจะคอยช่วยดูแลสุขภาพผิว บำรุงผิวให้มีความสดใสเปล่งปลั่ง อ่อนนุ่มชุ่มชื้น และเนียนเรียบขึ้น อีกทั้งยังช่วยลบเลือนรอยแผลเป็นนอกจากนี้ยังมีสารเซราไมด์ที่แสนดี มีคุณสมบัติช่วยคงความกระชับเพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และที่น่าปลื้ม คือ สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีของผิว ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ
สำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีน้ำมันจมูกข้าวสาลีเป็นส่วนผสม สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้ง
ไม่เพียงเท่านี้ยังสามารถนำไปหมักผม หรือนวดหนังศรีษะก็ได้ เพื่อช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย
ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)
ว่านทางจระเข้เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมายต่อผิวพรรณ ทั้งรักษาสิว รักษาผ้า รักษาอาการไหม้ที่เกิดจากแสงแดด สมานแผล ลดการระคายเคือง ลบเลือนรอยแผลเป็น กระชับรูขุมขน เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยทำให้ผิวมีความนุ่มนวล สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีว่านหางจระเข้เป็นส่วนผสมนั้น สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพราะในว่านหางจระเข้มีน้ำเป็นส่วนประกอบที่
สำคัญมากถึง 99.5% ถ้าเป็นคนผิวแห้งก็จะช่วยบำรุง และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับคนผิวมันก็จะช่วยกระชับรูชุมขน และ
ควบคุมความมันได้เป็นอย่างดี