กลิ่นตัว!

Browse By

กลิ่นตัว! คุณสาว ๆ ลองจินตนาการดู ถ้าคุณมีกลิ่นตัวแรง แล้วผู้ชายหน้าไหนอยากจะเข้ามาแนบชิดด้วยล่ะ บอกกันหน่อยสิ! ไม่ได้นะคะ คุณจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปไม่ได้ เพราะเรื่องกลิ่นตัวแรงถือเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนที่สุด จะส่งผลต่อบุคลิกภาพ และมีผล กระทบต่อผู้คนรอบข้างของคุณ ซึ่งบางคนอาจกลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นแอบ เม้าท์ถึงเป็นที่สนุกปาก ถ้าใครไม่รู้ว่ารักแร้เป็นจุดใหญ่ของการส่งกลิ่น แสดงว่าใครคนนั้นคงมาจากดาวพลูโตแน่ ๆ เหอะ…เหอะ…

แต่อันที่จริง รักแร้ก็ไม่ได้เป็นส่วนเดียวที่ทำให้เกิดกลิ่น เพราะต้นกำเนิดของกลิ่นตัวนั้น เกิดจากการที่ต่อมของร่างกายขับเหงื่อ และไขมันออกมาตามผิวหนัง ซึ่งเหงื่อ และไขมันจะมีแบคทีเรียปะปนออกมาด้วย เมื่อไหลออกมาเยอะ ก็จะเป็นแหล่งหมักหมมของแบคทีเรียด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของกลิ่นเหม็น ๆ นั่นเอง สำหรับบริเวณที่มักจะมีการขับเหงื่อออกมาเยอะก็คือ บริเวณที่เป็นจุดอับต่างๆ เช่น รักแร้ ข้อพับ ชอกนิ้วเท้า โคนขาหนีบ และอวัยวะเพศ โดยปกติคนทุกคนย่อมมีกลิ่นตัวด้วยการทั้งนั้น จะแตกต่างกันก็ตรงที่กลิ่นของใครจะเหม็นน้อย เหม็นปากกลาง เหม็นมาก หรือเหม็นรุนแรง ก็สุดแล้วแต่ เพราะเรื่องของกลิ่นมันมีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบร่วม ดังนี้

กลิ่นที่เกิดจากผิวหนัง
ความสะอาดของร่างกาย ถือเป็นสุขลักษณะขั้นพื้นฐาน ถ้าใครไม่สามารถ ก็ถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างแย่ คนที่ไม่อาบน้ำ เชื่อแน่ว่า
ตามผิวหนังคงถูกแบคทีเรียเข้ายึดเต็มพื้นที่ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เกิดกลิ่นได้ยังไง

กลิ่นที่เกิดจากอาหารที่กิน
ธรรมชาติของร่างกาย หลังจากที่อาหารถูกย่อยสลาย ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อส่งต่อไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
และในระหว่างนั้น สารประกอบบางชนิดที่สอดแทรกอยู่ในอาหาร ก็จะถูกขับออกมาตามต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งผลการวิจัยบอกว่า มีอาหารหลายชนิดที่ติดอันดับเป็นประเภทกลิ่นแรง อาทิ กระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง สะตอ กุยช่าย ขิงสด และเครื่องเทศต่าง ๆ นอกจากนี้ การกินเนื้อสัตว์มากเกินไปก็จะทำให้ท้องผูก ทำให้ระบบการย่อยอาหารมีปัญหา และปริมาณเนื้อสัตว์ที่มีมากก็จะถูกแปลงสภาพเป็นก๊าชเหม็น แล้วร่างกายเราก็จะปล่อยก๊าซเหม็นนี้ออกมาทุกอณูของรูขุมขน และการผายลม
ทางแก้คือ ไม่ควรกินอาหารประเภทกลิ่นแรงมากเกินไป และไม่ควรปล่อยให้ท้องผูก ฉะนั้น ควรกินผักผลไม้กันมาก ๆ ทุกวัน

กลิ่นที่เกิดจากเสื้อผ้าที่สวมใส่
เวลาที่เราเลือกซื้อเสื้อผ้ากันสักชุด ส่วนใหญ่เราจะเลือกจากแบบ และสีที่ชอบ และมักจะมองข้ามเรื่องชนิดของเนื้อผ้ากัน อันที่จริง
เรื่องชนิดของเนื้อผ้าค่อนข้างสำคัญ เพราะเนื้อผ้าบางชนิดมีส่วนอย่างมากต่อการเกิดกลิ่น เช่น ผ้าเนื้อหนา ๆ หรือผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์จำพวกไนลอน โพลีเอสเทอร์ และโอเลฟิน ซึ่งผ้าประเภทนี้เวลาใส่แล้วจะทำให้รู้สึกร้อน เพราะระบายเหงื่อได้ไม่ดี พอเหงื่อออกเยอะ ก็ทำให้ผิวหนังมีความอับขึ้น จึงทำให้ผิวหนังมีแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของกลิ่นแย่ ๆ นั่นเอง
แต่ก็ใช่ว่า จะใส่เนื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ไม่ได้นะคะ เพราะผ้าประเภทนี้ เหมาะที่จะใส่เวลาที่เราอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ คือ ไม่ต้องออกไปให้แสงแดดลามเลียเล่นจนเหงื่อไหลย้อย หรือไม่ได้อยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและสำหรับเนื้อผ้าที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องกลิ่นก็คือ ผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติอย่าง ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าไหม และผ้าขน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นผ้าฝ้าย 100% เหมาะมาก ๆ ที่จะสวมใส่เวลาที่ต้องอยู่กลางแจ้งคือ เจอทั้งความร้อน และแสงแดด เพราะผ้าฝ้ายจะระบายอากาศได้ดี ไม่อมเหงื่อ

อาบน้ำให้เป็น
ผิวของเราจำเป็นต้องทำความสะอาดทุกวัน เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เขม่าควัน คราบเหงื่อไคล คราบไขมัน สาร
เคมีจากเครื่องสำอาง ฯลฯ ที่เกาะติดอยู่ให้หมดไป การอาบน้ำจึงเป็นการทำความสะอาดผิวที่ดีที่สุด ยิ่งถ้าอากาศร้อน ๆ แบบบ้านเรา
ถ้าได้อาบน้ำจะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น และกระปรี้กระเปร่าขึ้น แถมผิวก็สดใสขึ้นด้วย แต่การอาบน้ำก็เป็นการทำลายมอยซ์เจอไรเชอร์ธรรมชาติที่อยู่บนเนื้อผิวของเรา หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไขมันที่ผิวถูกทำลายไป จริงอยู่ที่ว่า การอาบน้ำอุ่นส่งผลดีต่อร่างกาย คือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาความปวดเมื่อย และช่วยทำความสะอาดรูขุมขน แต่การอาบน้ำอุ่นก็มีผลเสียด้วย ยิ่งคนที่มีผิวแห้งถึงแห้งมาก หากอยู่ในช่วงฤดูหนาว หรืออยู่ในประเทศที่มีหิมะ การอาบน้ำอุ่นจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น ทางที่ดี ควรต้องจำกัดเวลาคือ ไม่ควรเกิน 30 นาที หลังจากอาบเสร็จควรเช็ดตัวให้แห้งแล้วต่อด้วยการทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิวให้ทั่วตัว ถึงแม้ว่าคุณจะมีผิวธรรมดา หรือผิวมัน ก็จำเป็นต้องบำรุงผิวด้วยการทาโลชั่นเหมือนกัน